วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551

ทำนายฝัน 4


เรื่องที่ ๒
การบำเพ็ญทุกรกิริยาของพระบรมโพธิสัตว์ก่อนตรัสรู้
พระบรมโพธิสัตว์ ได้ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างแรงกล้า ทรงกดพระทนต์ด้วยพระทนต์ (กัดฟันด้วยฟัน) กดพระตาลุด้วยพระชิวหา (กดเพดานด้วยลิ้น) ทรงข่มจิตใจบีบให้แน่น ร้อนจัด เหงื่อไหลออกจากรักแร้ จนกระทั้งได้รับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส ก็ยังไม่สามารถตรัสรู้ได้
หลังจากนั้น พระองค์จึงได้บำเพ็ญเพียรอย่างแรงกล้ายิ่งขึ้นไปอีก ด้วยการกลั้นลมหายใจออกและลมหายใจเข้า ทั้งทางปาก ทางจมูก จนกระทั้งลมดันออกทางช่องหูทั้งสอง ก็ยังไม่อาจตรัสรู้ได้ จึงกลั้นลมให้สูงขึ้นมาอีกทั้งทางปากและทางจมูก และทางช่องหู จนกระทั้งลมเสียดแทงขึ้นบนศีรษะ ได้รับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า ดุจว่าศีรษะถูกเชือดด้วยมีดโกนคมกริบฉะนั้น
พระบรมโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาให้กล้าแข็งยิ่งขึ้นไปอีก โดยทรงยับยั้งพระกระยาหารทีละน้อยๆ จนในที่สุดอดพระกระยาหารโดยเด็ดขาด พระวรกายถึงซึ่งความซูบผอม ผิวพรรณที่เปล่งปลั่งดังสีทอง ก็กลายเป็นผิงดำคล้ำ มหาปุริสลักษณะทั้ง ๓๒ ประการก็ไม่ปรากฏ ถูกเวทนาครอบงำจนถึงแก่วิสัญญีภาพ และล้มลง ณ ที่นั้น
อวัยวะน้อยใหญ่ของพระบรมโพธิสัตว์ เหมือนเถาวัลย์ที่มีข้อมาก ตะโพกปรากฏเหมือนเท้าอูฐ กระดูกสันหลังผุดขึ้นมาเหมือนเถาวัฏฏนาวีฬ ซี่โครงนูนขึ้นเป็นร่องๆ ดุจดังกลอนศาลาเก่าที่เครื่องมุงหล่นโทรมอยู่ ฉะนั้น ดวงตาลุ่มลึกเข้าไปในเบ้าตา ประดุจดวงดาวในบ่อน้ำลึก ผิวบนศีรษะเหี่ยวแห้งดุจผลน้ำเต้าที่ถูกแสงแดดอันแรงกล้าแผดเผา ผิวหนังท้องแห้งติดกระดูกสันหลัง เมื่อลุกขึ้นถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ก็ซวนเซล้มลง เมื่อเอาฝ่ามือลูบตามพระวรกาย ขนทั้งหลานมีรากเน่าหล่นออกมา แต่ก็หาสามารถตรัสรู้ได้ไม่
พระบรมโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาด้วยวิธีการต่างๆ อยู่ถึง ๖ ปี ก็ไม่สามารถตรัสรู้ได้ จึงได้ทรงเปลี่ยนพระหทัยออกบิณฑบาต ครั้นเสวยพระกระยาหารแล้ว ต่อจากนั้นมาไม่ช้านัก มหาปุริสลักษณะทั้ง ๓๒ ประการก็ปรากฏขึ้นตามเดิม พระวรกายกลับมีพระฉวีวรรณเปล่งปลั่งดั่งในอดีต
ในครั้งนั้น มีหญิงผู้หนึ่งชื่อนางสุชาดา เกิดในเรือนของเสนะกฎุมพี ในเสนานิคมอุรุเวลาประเทศ เติบโตเป็นรุ่นสาว นางทำความปรารถนาไว้ที่ต้นไทรแห่งหนึ่งว่า ถ้าข้าพเจ้าได้สามีที่มีสกุลสมกันแล้ว ขอให้ได้ลูกชายคนหัวปี จะสละทรัพย์ประมาณแสนหนึ่งทำพลีกรรมแก่ท่านทุกๆ ปี ความปรารถนาของนางก็ได้สำเร็จสมความประสงค์ จึงได้ทำพลีกรรมในวันเพ็ญเดือน ๖ อันเป็นวันที่พระบรมโพธิสัตว์บำเพ็ญทุกรกิริยาครบ ๖ ปีพอดี นางได้ถวายข้าวปายาสเพื่อกระทำพลีกรรมแก่เทวดา
พระบรมโพธิสัตว์ทรงสุบิน ๕ ประการ
ณ ราตรีนั้น พระบรมโพธิสัตว์ทรงบรรทมแล้วเกิดเป็นพระสุบินนิมิต ซึ่งทรงตรัสเล่าด้วยพระองค์เอง ในสุปินสูตร อังคุตตรนิกายปัญจกนิบาต คือ
๑. อยํ มหาปฐวี มหาสยํ อโหสิ
พระองค์เสด็จบรรทมเหนือปฐพี เป็นแท่นที่พระบวรสิริมหาไสยาสน์
หิมวา ปพฺพตราชา พิมฺโพหนํ อโหสิ
พระยาเขาหิมพานต์เป็นพระเขนย บ่ายพระเศียรไปทางทิศอุดร
ปุรตฺถิเม สมุทฺเท วาโม หตฺโถ โอหิโต อโหสิ
พระหัตถ์ซ้ายเหยียดยาวไป หย่อนลงในมหาสมุทร ด้านปุริมทิศ (ทิศตะวันออก)
ปุจฺฉิเม สมุทฺเท ทกฺขิโน หตฺโถ โอหิโต อโหสิ
พระหัตถ์ขวาเหยียดพาดหย่อนไปในมหาสมุทร ด้านปัจฉิม (ทิศตะวันตก)
ทกฺขิเณ สมุทฺเท อุโภ ปาทา โอหิโต อเหสํ
พระบาททั้งสองเหยียดพาดหย่อนลงไปในมหาสมุทร ด้านทิศทักษิณ (ทิศใต้)
๒. ติณฺชาติ นาภิยา อคฺคนฺตวา นภํ อาหจฺจ ฐิตา อโหสิ
หญ้าคางอกขึ้นมาแต่พระนาภีแล้วสูงขึ้นจนจรดนภากาศ
๓. เสตา กิมี กณฺหสีสา ปาเทหิ อุสฺสกฺกิตฺวา ยาว ชานุมณฺฑลา ปฏิจฺฉาเทสํ
กิมิชาติ หมู่หนอนทั้งหลาย ตัวสีขาว ศีรษะดำ ไต่ขึ้นมาแต่พระบาททั้งสอง (ปกปิดพระบาทและพระชงฆ์) ตลอดจนถึงชานุมณฑล (เข่า)
๔. จตฺตาโร สกุณา นานาวณฺณา จตูหิ ทิสาหิ อาคนฺตวา ปาหมูเล นิปติติตฺวา สพฺพเสตา สมฺปชฺชีสุ
นกทั้งหลายสี่จำพวก มีสีต่างๆ กัน (เป็นสี่สี) บินมาจากทิศทั้ง ๔ แล้วมาหมอบอยู่ใกล้พระบาทแห่งพระองค์ แล้วก็กลับกลายสรีระเป็นสีขาวเหมือนกันหมดทั้ง ๔ จำพวก
๕. สมาโน มหโต มิฬฺฆปพฺพตสฺส อุปรูปริ จงฺกมติ อลิปฺปมาโน มิฬฺเหน
พระองค์ทรงเสด็จจงกรมไปมาในเบื้องบนแห่งภูเขาใหญ่อันเต็มไปด้วยคูถ แต่พระบาทจะได้แปดเปื้อนด้วยคูถแม้แต่น้อยหนึ่งก็หามิได้
พระบรมโพธิสัตว์ทำนายพระสุบิน
๑. พระสุบินนิมิตข้อที่หนึ่งนั้น ทรงพยากรณ์ว่า พระองค์จะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณอย่างแน่นอน
๒. พระสุบินนิมิตข้อที่สองนั้น ทรงพยากรณ์ว่า พระองค์จะได้ตรัสรู้อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ แล้วประกาศให้ปรากฏแจ่มแจ้งในสันดานแห่งเทวดาและมนุษย์ ตลอดจนอินทร์ พรหมทั้งปวง
๓. พระสุบินนิมิตข้อที่สามนั้น ทรงพยากรณ์ว่า คฤหัสถ์ผู้นุ่งขาวห่มขาวเป็นจำนวนมาก ได้ถึงตถาคตเป็นสรณะตลอดชีวิต
๔. พระสุบินนิมิตข้อที่สี่นั้น ทรงพยากรณ์ว่า วรรณะทั้ง ๔ เหล่าคือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกบวชในพระธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ทำให้แจ้งซึ่งนิมิตอันยอดเยี่ยม
๕. พระสุบินนิมิตข้อที่ห้านั้น ทรงพยากรณ์ว่า ตถาคตได้จตุปัจจัยลาภ มีจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานเภสัชบริวาร แต่มิได้ลุ่มหลง ไม่หมกมุ่น ไม่พัวพัน มีปรกติเห็นโทษ มีปัญญาเปลื้องตนออก
ครั้นรุ่งสว่างแล้ว พระบรมโพธิสัตว์ทรงทำการปฏิบัติในสรีรกิจแล้ว เมื่อกำลังรอภิกขาจารได้เสด็จมาประทับยังควงไม้แต่เช้าตรู่ ยังควงไม้ทั่วบริเวณนั้นให้สว่างไสวด้วยรัศมีของพระองค์
นางปุณณทาสีมาเห็นพระบรมโพธิสัตว์ นางก็เกิดความคิดว่า วันนี้เทวดาของพวกเราเห็นจะลงมาจากต้นไม้คอยรับพลีกรรมด้วยมือของตนเอง จึงได้รีบนำความนั้นแจ้งแก่นางสุชาดา
นางสุชาดาได้ยินเช่นนั้นก็มีความยินดียิ่งนัก รีบจัดแจง ถาดทองใส่ข้าวมธุปายาสจนเต็ม แล้วปิดด้วยถาดทองห่อด้วยผ้าขาว ทูนถาดไว้เหนือศีรษะเดินทางไปยังควงไม้ไทรใหญ่นั้น ครั้นได้เห็นพระบรมโพธิสัตว์ ก็บังเกิดความโสมนัสเป็นกำลัง ย่อกายเข้าคารวะด้วยคิดว่าเป็นรุกขเทวดา นางลดถาดทองลงจากศีรษะเปิดถาดแล้วถือถาดน้ำที่อบด้วยของหอมอย่างดี ด้วยคณโฑทอง น้อมเข้าไปถวายพระบรมโพธิสัตว์
นางสุชาดาวางถาดทองที่รองข้าวปายาสลงที่พระหัตถ์ของพระโพธิสัตว์ พระบรมโพธิสัตว์มองดูนางสุชาดา นางกำหนดอาการนั้นไหว้แล้วกล่าวว่า ท่านเจ้าขา ขอท่านจงรับข้าวปายาส พร้อมกับถาดที่ดิฉันนำมาเพื่อท่านแล้วตามชอบใจเถิด แล้วกล่าวอีกว่า ความสำเร็จของดิฉันสำเร็จลงแล้วอย่างไร ขอจงสำเร็จแก่ท่านเหมือนฉะนั้นเถิด
ในเวลาต่อจากนั้นมา พระบรมโพธิสัตว์ก็หันพระปฤษฎางค์ทางต้นโพธิ์ ผินพระพักตร์มาทางด้านทิศบูรพา ตั้งพระทัยมั่นคงทรงอธิษฐานความเพียรว่า
กามํ ตโจ นหารู จ อฏฺฐิ จ อวสิสฺสตุ
สพฺพํปิ หิทํ สรีเร มํสโลหิตํ อุปสุสฺสตุ
จะเหลือแต่ หนัง เอ็น และกระดูกก็ตามที เนื้อและเลือดในร่างกายนี้ จะเหือดแห้งไปให้หมดเถิด ตราบใดเรายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จักไม่ทำบัลลังก์นี้เป็นอันขาด เสด็จประทับคู้อปราชิตบัลลังก์ ถึงแม้สายฟ้าตั้งร้อยครั้งรวมกันฟาดลงมา ก็ไม่อาจทำให้แยกออกได้
พระองค์ทรงบรรลุถึงซึ่งความตรัสรู้ในปัจฉิมยามแห่งราตรีนั้น จิตหลุดพ้นแล้วจากกามาสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วก็รู้ว่า หลุดพ้นแล้ว ทรงรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอย่างอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

ไม่มีความคิดเห็น:

ดวงดีดอทคอม เวปใหม่