วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ประสบการณ์เร้นลับ


ตอนที่ 2 วันนั้นพ่อผู้ใหญ่และพวกกว่าจะกลับไปก็เกือบทุ่มแล้ว เพื่อนเมาเข้ามุ้งได้ก็หลับไปเลย ส่วนผมยังนั่งสวดมนต์และทำกรรมฐานแผ่เมตตาให้ สุ ผู้หญิงผู้น่าสงสารในสายตาของผมในขณะนั้น กว่าจะเสร็จก็ราว 3 ทุ่ม จากนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังมา แจ้งให้เข้ากรุงเทพฯตกลงเรื่องงานภายใน 3 วัน ถ้าเกินกว่านั้นเขาจำเป็นต้องจ้างคนอื่นแทน ผมเลยบอกว่าจะเข้ากรุงเทพภายใน 2 วัน หลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว ผมได้ล้มตัวลงนอนแต่สายสร้อยกับพระที่ใส่คล้องคอไว้ ได้พันคอจนนอนไม่สบาย ผมเลยถอดสายสร้อยและพระไว้ข้างหมอนรวมกับมีดหมอที่หลวงพ่อให้มา ผมหลับไปตอนกี่โมงไม่ทราบมารู้สึกตัวอีกครั้ง มีคนมานั่งทับอยู่บนหน้าอก และเอานิ้วมือที่มีเล็บยาวมาจิ้มเข้าที่ปากผม ผมลืมตาขึ้น ภาพที่เห็นนั้นคือ สุ ผมเห็นหน้าเธออย่างชัดเจน หน้าของเธอขาวซีด ผมยาวลงมาปิดหน้าบางส่วน นัยน์ตาของเธอเหมือนไม่มีลูกตาดำอยู่ภายในตา ช่วงนั้นผมได้สวดคาถา นะโม พุทธายะ พร้อมทั้งเอามือของตัวเองปัดมือของ สุ ให้ออกจากปากของผม ให้ตายเถอะมือของผมปัดไม่โดนอะไรเลย เหมือนปัดอากาศอย่างไงอย่างงั้น ในขณะที่เธอยังนั่งอยู่บนหน้าอกผมและน้ำหนักก็เพิ่มมากขึ้นทุกที ทุกที มันทำให้ผมรู้สึกอึดอัดมาก นิ้วมือของเธอยังคงจิ้มอยู่ในปากของผม ผมจึงเอามือควานหามีดหมอที่วางอยู่ข้างหมอน พอคว้ามีดได้ก็แทงไปยังร่างที่นั่งทับอยู่บนหน้าอกผม ผมได้ยินเสียงของเธอร้องอย่างเจ็บปวด พร้อมกับร่างที่นั่งทับบนหน้าอกของผมหายไปต่อหน้าต่อตา ทั้งที่ขณะนั้นมีลมพัดกรรโชกอย่างแรง แต่ช่วงวินาทีนั้นทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในความสงบ ผมลุกขึ้นนั่งด้วยความเหนื่อยล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมดูนาฬิกา เวลาตี 2 ครึ่งพอดี ยังเหลือเวลานานกว่าจะเช้า ผมหันไปดูเพื่อนซึ่งยังไม่ตื่น ผมคงนอนไม่หลับแล้ว จึงลุกขึ้นนั่งสวดมนต์และนั่งกรรมฐานจนเวลา ตี 4 ผมจึงลุกออกมาเพื่อเตรียมตัวทำงานในวันรุ่งขึ้น
พอตอนเช้าเพื่อนตื่นขื้นมาได้ถามผมว่า เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ผมจึงบอกเขาว่าไม่มีอะไร เพื่อให้เขาสบายใจในเวลาที่ผมไม่อยุ่ เที่ยงของวันนั้นผมได้บอกเขาว่าผมจะกลับกรุงเทพฯ ทำธุระเรื่องงานภายใน 2 วันนี้ เพื่อนบอกว่าถ้าพี่ไปกรุงเทพฯผมคงไม่กล้าอยู่คนเดียว ผมจึงไปปรึกษากับพ่อตา แม่ยาย ของเพื่อนว่าจะทำอย่างไรดี แม่ยายจึงบอกให้พ่อตาไปนอนเป็นเพื่อนแทนผม จึงขอต่อไฟฟ้าจากบ้านผู้ใหญ่มาที่นา มีไฟฟ้าก็คงไม่น่ากลัวเท่าไรนัก แม่ยายเพื่อนถามผมว่าจะไปกรุงเทพฯเมื่อไร ผมบอกว่าคงจะเป็นพรุ่งนี้เช้า เพราะทางกรุงเทพฯเร่งมาให้รีบไปคุยเรื่องงานใหเรียบร้อย
พอตกเย็น พ่อตาแม่ยายเพื่อนกลับไปบ้านกันหมดแล้ว ผมเห็นแสงไฟของรถมอเตอร์ไซด์และรถปิคอัพอีก1 คัน วิ่งตรงมาที่เพิงที่ผมพักอยู่ พอรถจอดผมจึงรู้ว่าเป็นเพื่อนของเพื่อนนั่นเอง พวกเขาเอาเหล้ามากินกันแล้วยังชวนผมกินอีกด้วย ผมจึงปฏิเสธไป พวกเขาจึงนั่งกินเหล้ากันต่อถึง 2 ทุ่มกว่าๆเหล้าก็หมด หนึ่งในกลุ่มจึงชวนกันไปกินต่อในตัวจังหวัด ทุกคนจึงตกลงจะไปกินเหล้ากันต่อในตัวจังหวัด พวกเขาจึงชวนผมบอกว่าพี่ไปด้วยกันดีกว่าอย่าอยู่คนเดียวเลย ผมบอกไม่เป็นไรอยากพักผ่อนมากกว่า พี่ไปก็ไม่สนุกไปกันเถอะ พวกเขาถามผมว่าพี่อยู่คนเดียวไม่กลัวผีเหรอ ถ้าพี่กลัวไปกับพวกผมดีกว่า พวกผมเคยเจอมาแล้วที่กล้าเข้ามาเพราะมากันหลายคน พวกเขาเห็นว่าผมไม่ไปแน่ ก็เลยพากันไปเที่ยวต่อทั้งหมด พอทุกคนไปกันหมดแล้ว ผมก็มาคิดว่าคืนนี้เราคงเจอดีอีกแน่ๆ ก็เลยหาก้อนหินมา 4 ก้อน แล้วทำการท่องคาถาเสกลงบนก้อนหินแล้วนำหินนั้นวางไว้ตามซอกเสาทั้ง 4 ทิศ เพื่อป้องกันไม่ให้ผีหรือสิ่งใดๆมารบกวนในขณะที่ผมหลับ ผมจึงเข้านอนพอหลับไปได้สักพักใหญ่ๆ มารู้สึกตัวตอนที่มีพายุและฝนสาดเข้ามาถึงตัว แล้วหอบเอาที่นอน หมอน มุ้ง ตกลงจากเพิงที่พักไปกองอยู่ใต้ถุนทั้งหมด ผมลุกขึ้นยืนกลางเพิงที่พัก มองซ้าย มองขวา ด้วยความมึนงง เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มองไปก็ไม่เห็นมีอะไร นอกจากลมและฝนที่สาดมาปะทะจนตัวเปียกไปหมด ผมจึงมองตรงออกไปด้านนอกเพิงที่ผมพัก ซึ่งมีกอไฝ่ขนาดใหญ่ขึ้นอยู่ทั้งซ้ายและขวา ทันใดนั้นเองสายตาของผมเห็นร่าง ร่างหนึ่งยืนอยู่ที่กอไฝ่ เป็นร่างของ สุ นั่นเอง ที่คอยมารบกวนผมอยู่ตลอดเวลา เธอมองมาทางผมอย่างปองร้ายในขณะที่พายุพัดอย่างแรง ทั้งลูกเห็บและฝนตกอย่างหนัก ต้นไฝ่ทั้งกอแทบจะโค่นลงมาด้วยแรงลม แต่ร่างนั้นกลับยืนทื่ออย่างไม่สะทกสะท้าน ผมรวบรวมสมาธิแผ่เมตตาให้ และนึกขึ้นว่า สุ ไปที่ชอบที่ชอบนะ บุญกุศลที่ผมทำมาขอยกให้ สุ อย่าได้มีเวรมีกรรมต่อกันเลย ผมไม่เจตนาทำร้าย สุ เพียงแต่ไม่อยากให้ สุ มารบกวนผมกับเพื่อน เวลาพักผ่อนเท่านั้น ระหว่างที่ผมคิดอยู่นั้น ไม้ที่อยู่บนขื่อโดนแรงลมพัดตกลงมาใส่ผมดีว่าโดนแค่หัวไหล่ แต่ก็สร้างความเจ็บปวดให้กับผมอย่างมาก ผมได้ยินเสียงลมพัดแรงขึ้น จากจิตที่เป็นเมตตากับกลายเป็นความโมโหมาแทนที่ ผมหามีดกับพระเครื่องที่หลวงพ่อให้ไว้ แต่ของทั้ง 2 อย่างที่ผมวางไว้ข้างหมอน โดนแรงลมพัดไปอยู่ใต้ถุนพร้อมกับ ที่นอน หมอน มุ้งแล้ว ผมหันซ้ายหันขวา ว่าพอจะมีอะไรใช้ขับไล่วิญญาณดวงนี้ได้บ้าง ทันใดนั้นสายตาผมก็มองเห็นกระเป๋าที่ผมแขวนไว้ข้างเสา ใช่ผมยังของดีอีกชิ้นหนึ่งในกระเป๋า ผมรีบเข้าไปหยิบของชิ้นนั้นออกมา แล้ววางลงกับพื้นพร้อมทั้งนั่งบริกรรมคาถาที่หลวงพ่อได้สอนไว้ ทันใดนั้น สิ่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากกลุ่มควันลางๆ ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ยืนขวางระหว่างผมกับสุ สิ่งที่ปรากฏนั้นคือ ควายตัวใหญ่ รูปร่างกำยำ ยืนจ้อง สุ อย่างดุร้าย และวิ่งกระโจนเข้าใส่ใช้เขาอันแหลมคมไล่ขวิดอย่างดุร้าย พร้อมทั้งได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวล ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าผมนั้นเป็นการต่อสู้กัน ระหว่าง สุ กับ ควายอาคม เหตุการณ์นี้ ดำเนินไปราว 20 นาที ทุกอย่างก็สงบลง ทั้งลมและฝน อย่างกับว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ผมมองดูนาฬิกาเกือบ ตี 3 เพื่อนยังไม่กลับ ผมเลยเดินลงไปใต้ถุนคลำหาไฟฉาย เมื่อเจอแล้วก็เปิดไฟหาพระกับมีดหมอที่โดนลมกวาดลงมารวมกับข้าวของทั้งหมด เมื่อเจอพระกับมีดหมอแล้ว ผมก็เดินดูรอบบริเวณเพิงพัก มีต้นไฝ่ขนาดใหญ่และเสาที่เอามาล้อมรั้วหักไปเป็นจำนวนมาก ผมไม่แน่ใจว่าไม้ที่หักนั้นเป็นเพราะแรงลม หรือเกิดจากการต่อสู้ของ สุ กับ ควายธนู กันแน่ แต่ที่น่าแปลกบริเวณที่ไม้หักและรอบเพิงพักมีรอยเท้าของควายย่ำอยู่โดยทั่วไป ระหว่างที่ผมยืนดูรอยเท้าควายอยู่นั้น ก็มีแสงไฟจากรถมอเตอร์ไซด์วิ่งเข้ามาคงเป็นเพื่อนแน่ๆ พอรถจอดตรงหน้าผม เพื่อนถามว่าพี่เป็นอะไรหรือเปล่าผมเป็นห่วงมาก จะกลับก็กลับไม่ได้ฝนตกหนักมาก เพื่อนมองดูบริเวณโดยรอบและเห็นรอยเท้าควาย จึงถามว่าพี่ควายที่ไหนมาย่ำเต็มไปหมด ผมบอกว่าพี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน พอฝนหยุดตกลงมาดูก็เป็นอย่างนี้แล้ว
พอตอนเช้าจะกลับกรุงเทพฯ ก็กลับไม่ได้ เพราะเสื้อผ้าเปียกฝนหมด ต้องตากแดดเสียก่อน และอยู่ช่วยเพื่อนเอาผ้าพสาสติกมาขึงเอาไม้มาตอกทำเป็นฝาบ้านทั้ง 4 ทิศ กันฝนสาดเข้ามาจะได้นอนได้ และเดินไฟจากบ้านพ่อผู้ใหญ่มาที่นา กว่าจะเสร็จก่อนเย็นแล้ว ผมให้เพื่อนมาส่งที่สถานีรถไฟที่ตัวเมืองอุดร และกลับกรุงเทพฯ ในวันรุ่งขึ้นของวันใหม่
เมื่อผมกลับมากรุงเทพฯ ก็ทำงานจนไม่มีเวลาติดต่อกลับไปหาเพื่อนเลยจนเวลาผ่านไปประมาณเดือนพฤษภา 47 ผมโทรศัพท์หาเพื่อนคนนี้ แต่เสียงปลายสายที่รับเป็นภรรยาของเพื่อนชื่อ พร เป็นคนรับสาย ผมแปลกใจจึงถาม พร ว่าเพื่อนกลับมากรุงเทพฯแล้วหรือ พร บอกเปล่าพี่ตอนนี้พวกหนูเอากระดูกของลูกสาวคนเล็กไปลอยอังคารที่จังหวัดระยอง ผมตกใจถามเรื่องราวเป็นอย่างไง พร บอกว่าหลังจากที่พี่เดินทางกลับกรุงเทพฯแล้ว พ่อตาของเพื่อนก็ลงไปนอนเป็นเพื่อนที่นาทุกคืน ก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น จนกระทั่ง วันที่ 29 เม.ย 47 พ่อของพรไม่สบายก็เลยนอนพักอยู่ที่บ้าน เพื่อนเลยเอาลูก( สามีของพร ) คนเล็กที่แม่ยายช่วยเลี้ยงให้ไปนอนเป็นเพื่อนอยู่ที่นาด้วย ลุกสาวคนเล็กนี้อายุ 2 ขวบเต็มพอดีในวันที่ 30 เม.ย 47 พรเล่าว่าพอสามีหลับไปมาตื่นตอนตี 5 แต่ไม่เห็นลูกสาวนอนอยู่ในมุ้ง เลยออกมาตามหารอบๆ บริเวณก็ไม่พบ พ่อและแม่ของพรรู้เข้าก็ขอแรงชาวบ้านให้ช่วยตามหาแต่หาอย่างไงก็หาไม่เจอ จนเวลาบ่ายมากแล้ว เพื่อนเอะใจเลยชวนชาวบ้านลงไปงมในบ่อน้ำ ก็พบร่างของเด็กนอนอยู่ก้นบ่อน้ำนั้น เมื่อผมได้ฟังเรื่องราวต่างๆจบลง ถึงกลับพูดอะไรไม่ออก ได้แต่สงสารในโชคชะตาที่เกิดขึ้นกับครอบครัวนี้ เมื่อพรเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้วก็ขอตัววางสายเพื่อจะลอยอังคารให้เสร็จ ส่วนผมคิดว่าเหตุที่เด็กต้องเสียชีวิต ไม่รู้ว่า สุ เขาชวนไปอยู่เป็นเพื่อนหรือเปล่า ส่วนเพื่อนเมื่อลอยอังคารกระดูกลูกแล้ว ก็ไม่ได้กลับไปที่อุดรอีกเลย เพื่อนให้เหตุผลว่ากลับไปเห็นบ่อน้ำที่ลูกตกไปตายแล้วทำใจไม่ได้ ก็เลยเป็นอันว่าทั้งเพื่อนและผมไม่ได้ไปที่อุดรอีกเลย ส่วนไก่งวง พ่อตากับแม่ยายของเพื่อนก็เลี้ยงกันต่อไป


เรื่องจริง จาก อ. ชาญเวทย์

ไม่มีความคิดเห็น:

ดวงดีดอทคอม เวปใหม่